1. ทำความรู้จักประเภทของกระบอกสูบหลัก (Cylinder Types)
กระบอกสูบ (Cylinder) เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานจากของไหล (ลมหรือน้ำมัน) ให้เป็นการเคลื่อนที่เชิงเส้น (Linear Motion) โดยแบ่งตามลักษณะการทำงานได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
1.1 กระบอกสูบทำงานทางเดียว (Single Acting Cylinder) ↩️
หลักการทำงาน: ใช้แรงดันของไหล (ลมหรือน้ำมัน) เพียงด้านเดียวเพื่อ ดันลูกสูบออก (Extend) ส่วนการดึงลูกสูบกลับเข้าที่ (Retract) จะอาศัย แรงสปริงภายใน หรือ แรงจากภายนอก/น้ำหนักของโหลด
ข้อดี: โครงสร้างเรียบง่าย, ประหยัดสารทำงาน (ใช้ลม/น้ำมันเฉพาะขาออก)
ข้อเสีย: แรงที่ได้ในจังหวะดันจะถูก หักลบด้วยแรงต้านของสปริง, ระยะชัก (Stroke) มักจะจำกัดกว่า
เหมาะกับงาน: งานเบา, งานปั๊ม, งานหนีบ/ยึด ที่ต้องการแรงในทิศทางเดียว และต้องการให้ลูกสูบกลับสู่ตำแหน่งเดิมโดยอัตโนมัติ
1.2 กระบอกสูบทำงานสองทาง (Double Acting Cylinder) ↔️
หลักการทำงาน: ใช้แรงดันของไหลในการ ดันลูกสูบออก และใช้แรงดันของไหลอีกด้านในการ ดึงลูกสูบกลับ
ข้อดี: ควบคุมการเคลื่อนที่ได้แม่นยำและต่อเนื่องทั้งสองทิศทาง, ได้แรงในจังหวะดึงกลับ (แม้จะน้อยกว่าจังหวะดันออก), ระยะชักไม่จำกัด
ข้อเสีย: ใช้สารทำงาน (ลม/น้ำมัน) มากกว่า, โครงสร้างและระบบควบคุมซับซ้อนกว่า
เหมาะกับงาน: งานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่, งานยก/เลื่อนที่ต้องการแรงทั้งสองทิศทาง, งานที่ต้องการการหยุดกลางคัน
2. วิธีคำนวณแรงที่ถูกต้องของกระบอกสูบ (Calculating Cylinder Force)
แรงที่กระบอกสูบสร้างขึ้นมาได้จริงนั้นถูกกำหนดโดยหลักการพื้นฐาน $F = P \times A$ (แรง = ความดัน $\times$ พื้นที่) แต่การคำนวณต้องพิจารณาปัจจัยของก้านสูบและแรงเสียดทานด้วย
2.1 แรงในจังหวะดันออก (Extend Stroke Force, $F_{push}$)
ในจังหวะนี้ ของไหลจะดันที่พื้นที่หน้าตัดเต็มของลูกสูบ ($A_1$)
$D$ = เส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบ (Bore Diameter)
$P$ = ความดันใช้งาน (Working Pressure)
2.2 แรงในจังหวะดึงกลับ (Retract Stroke Force, $F_{pull}$)
ในจังหวะนี้ ของไหลจะดันที่พื้นที่หน้าตัดของลูกสูบที่ ถูกหักลบด้วยพื้นที่หน้าตัดของก้านสูบ ($A_2$)
$d$ = เส้นผ่านศูนย์กลางก้านสูบ (Rod Diameter)
2.3 การหาแรงสุทธิที่ใช้งานจริง (Actual Net Force, $F_{net}$)
ในการใช้งานจริง จะต้องหักลบแรงเสียดทาน ($F_R$) ออกจากแรงทางทฤษฎี (โดยทั่วไปประมาณ 10-20% ของแรงทางทฤษฎี) และหากเป็นกระบอกสูบทางเดียวต้องหักแรงสปริงออกด้วย:
3. ข้อพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกกระบอกสูบ
แรงใช้งานที่ต้องการ: ควรเลือกกระบอกสูบที่มีแรงทางทฤษฎีสูงกว่าแรงที่ต้องการใช้งานจริงอย่างน้อย 20-30% เพื่อเป็นเผื่อแรงเสียดทานและประสิทธิภาพที่ลดลง
ความเร็ว: ความเร็วของลูกสูบถูกควบคุมโดย อัตราการไหล ของลม/น้ำมันที่เข้าสู่กระบอกสูบ
ระยะชัก (Stroke Length): วัดจากระยะการเคลื่อนที่ทั้งหมดที่ต้องการทำงาน
รูปแบบการติดตั้ง: พิจารณาประเภทการยึด (เช่น ติดเท้า, หน้าแปลน, เดือย) ให้เข้ากับโครงสร้างเครื่องจักร
| ส่วนประกอบหลัก | กระบอกสูบ, Single Acting, Double Acting, ก้านสูบ, ลูกสูบ, Cylinder |
| หลักการทำงาน | กลไกการทำงาน, การคืนกลับด้วยสปริง, การเคลื่อนที่สองทาง, การเคลื่อนที่ทางเดียว, Linear Motion |
| การคำนวณ | สูตรคำนวณแรง, แรงทางทฤษฎี, แรงสุทธิ, แรงเสียดทาน, เส้นผ่านศูนย์กลางลูกสูบ, ความดันใช้งาน, F=PA |
| การเลือกใช้ | คู่มือการเลือก, เกณฑ์การเลือก, การประยุกต์ใช้งาน, นิวแมติกส์, ไฮดรอลิกส์ |
| คุณสมบัติ | แรงดันขาออก, แรงดันขากลับ, ประสิทธิภาพ, ระยะชัก (Stroke) |
ภาพนี้: กระบอกสูบทำงานทางเดียว (Single Acting Cylinder)
ภาพนี้จะแสดงภาพตัดขวางของกระบอกสูบทำงานทางเดียว โดยมีลูกศรแสดงการไหลของลม/น้ำมันที่ดันลูกสูบออก และสปริงที่ดันลูกสูบกลับเข้าที่ เน้นโครงสร้างที่เรียบง่าย
