การเลือก ระบบการผลิต (Production System) ให้สอดคล้องกับลักษณะของผลิตภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในบทความนี้เราจะมาวิเคราะห์กันว่า ผลิตภัณฑ์แบบไหนควรใช้ระบบการผลิตแบบใดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
1. ระบบการผลิตแบบโครงการ (Project Processes)
เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวสูง (Unique) มีปริมาณการผลิตน้อยมาก (มักจะเป็นชิ้นเดียว) เช่น การสร้างเขื่อน หรือการต่อเรือสำราญ
- ลักษณะ: ความยืดหยุ่นสูงมาก แต่ต้นทุนต่อหน่วยก็สูงเช่นกัน
2. ระบบการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop Processes)
เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายสูง (High Variety) แต่มีปริมาณน้อย (Low Volume) เช่น โรงพิมพ์ หรือร้านตัดสูทสั่งตัด
- ลักษณะ: เครื่องจักรต้องทำงานได้หลากหลาย และพนักงานต้องมีทักษะสูง
3. ระบบการผลิตแบบกลุ่ม (Batch Processes)
ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเป็นงวดๆ หรือเป็น "ล็อต" เช่น อุตสาหกรรมเบเกอรี่ หรือเสื้อผ้าแฟชั่น
- ลักษณะ: มีความสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการผลิต
4. ระบบการผลิตแบบสายพาน (Line / Mass Processes)
เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์มาตรฐานที่มีปริมาณการผลิตสูง (High Volume) เช่น การผลิตรถยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ลักษณะ: เน้นความเร็วและต้นทุนที่ต่ำลงจากการผลิตจำนวนมาก (Economy of Scale)
5. ระบบการผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Processes)
ใช้กับผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับสูงที่ไม่สามารถหยุดกระบวนการผลิตได้ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน หรือโรงไฟฟ้า
- ลักษณะ: ใช้ระบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด และมีต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) สูงมาก
สรุป: การเลือก ระบบตามลักษณะผลิตภัณฑ์ ต้องพิจารณาที่จุดสมดุลระหว่าง Volume (ปริมาณ) และ Variety (ความหลากหลาย) เพื่อให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด
การจัดการการผลิต, ระบบการผลิต, วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์, SEO, บริหารธุรกิจ, ProductionSystem, Logistics, Operations
